Sunday, September 14, 2008

พันธุ์หมาดุ

พันธุ์หมาดุ

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวสะเทือนใจคนทั่วไปและคนรักสุนัขเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเกิดเหตุสุนัขพันธุ์ร็อดไวเลอร์2ตัวรุมกัดเด็กหญิงวัย2ขอวเสียชีวิต นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุสุนัขกัดคนเสียชีวิต และอาจก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
ที่หลายคนคงสงสัยและติดใจคือสุนัขพันธุ์นี้มันดุร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ เพราะจากข่าวคราวที่ผ่านมา ผู้ที่ประสบเหตุไม่ใช่คนแปลกหน้าหรือโจรผู้ร้ายอย่างที่ควรจะเป็น หากแต่กลับเป็นเจ้าของบ้าน คนในครอบครัวหรือคนรับใช้ ซึ่งอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน เห็นกันทุกวัน จะด้วยลักษณะนิสัย สัญชาติญาณหรืออะไรก็ตามแต่
ทว่า สิ่งที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ช่างตรงข้ามกับวลีที่ว่า สุนัข เพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ ซะจริงๆ
แต่จะโทษสุนัขอย่างเดียวก็ไม่ถูก เพราะทุกครั้งที่เกิดเหตุเจ้าของเองก็มีส่วนผิดด้วยครึ่งหนึ่งเสมอ ในกรณีที่ไม่มีการดูแลเลี้ยงดูมันอย่างถูกต้อง ปล่อยปะละเลย ขาดการเอาใจใส่ ไม่ดูแลเรื่องความปลอดภัย อย่ากระนั้นเลย เราลองมาทำความรู้กับกับสุนัขพันธุ์ต่างๆที่ได้ชื่อว่ามีนิสัยดุกันดีกว่า เพื่อที่จะได้รู้และเข้าใจในตัวมันมากขึ้น


อเมริกัน พิทบูล เทอเรียร์
ที่ยกมาเป็นตัวแรกเพราะ พิทบูลได้ชื่อว่าเป็นสุนัขพันธุ์ที่ดุที่สุดในโลก ถึงขนาดที่ประเทศอังกฤษแบบไม่ให้มีการเลี้ยงกัน เนื่องจากมีข่าวจนเป็นคดีความฟ้องร้องไปหลายครั้งหลายครา เหตุก็เพราะเจ้าของไม่ดูแลให้ดี

ด้วยลักษณะรูปร่างที่ถ้าเปรียบเป็นคนก็จัดว่ากำยำลำสัน ตัวใหญ่ กรามใหญ่ เขี้ยวเล็บแหลมคม ดูแต่ไกลก็รู้แล้วว่าดุ ภาพที่เห็นคู่กับพิทบูลที่ครั้งจึงเป็นปลอกคอและสายรัดคอที่ตึงตลอด(เจ้าของต้องออกแรงยื่อยุดฉุดกระชากตลอดทาง) ความโหดของมันตามที่เล่าขานมาก็คือ กัดไม่ปล่อย กระโจนเข้าหาเป้าหมายด้วยพละกำลังหมาศาล(เคยเป็นข่าวว่าแรงดีขนาดลากรถทั้งคันได้) และที่ผ่านมาสุนัขพันธุ์นี้ก็เคยมีข่าวว่ากัดคนตายมาแล้ว



อเมริกัน พิทบูล มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ แรกเริ่มมีชื่อเรียกกันในหลายชื่อ แต่รวมๆแล้วหมายถึงหมาที่ใช้ในเกมส์การต่อสู้เป็นหลัก มันถูกพัฒนาความสามารถในการต่อสู้มาตั้งแต่ในอดีต เพราะสมัยก่อนกีฬาแข่งหมา(เอาหมามากัดกัน)เป็นที่นิยมในหลายประเทศ ซึ่ง พิตบูล มีคุณลักษณะตามเกณฑ์ทั้ง ความดุร้าย พละกำลังและความอึด ทำให้พิทบูลกลายเป็นหมานักสู้ในที่สุด

อนึ่ง ปัจจุบันกีฬาแข่งหมาได้ถูกยกเลิกไปแล้ว เพราะถูกต่อต้านว่าเป็นการทรมานสัตว์ แต่ก็ยังมี ญี่ปุ่น เกาหลี และหลายประเทศในยุโรป ที่ทางการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยให้มีการลักลอบแข่งหมาในพื้นที่ชนบท

จากคุณสมบัติที่สืบต่อมาจากบรรพบุรุษ จากสุนัขหลายสายพันธ์ที่มีจุดเด่นแตกต่างกันไป สุนัขพิทบูลในปัจจุบันถือว่า เป็นผลพวงมาจากการพัฒนาเพื่อเกมส์การแข่งขันเลือดนี้ เวลาที่ผ่านไปได้สั่งสมความเข้มข้นในสายเลือดนักรบ และหล่อหลอมจนก่อให้เกิดสุดยอดสุนัขนักสู้ใอย่างแท้จริง



ทั้งนี้ ปัจจุบันสุนัขสายเลือดนักสู้เหล่านั้นส่วนใหญ่ได้กลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงประจำบ้าน ซึ่งก็รวมถึง สุนัขอเมริกัน พิทบูลด้วย โดยส่วนใหญ่จะเลี้ยงไว้ใช้เพื่อเฝ้าบ้านเป็นหลัก แต่ด้วยความน่าเกรมขามของมันบางคนถึงกับเอาไปใช้เป็นบอดี้การ์ดประจำตัว

จุดเด่นพิทบูลกลายเป็นจุดอ่อน เพราะเป็นสุนัขที่มีนิสัยค่อนข้างดุร้ายตามลักษณะโครงสร้างทางสายพันธุ์ ต่างประเทศนิยมเลี้ยงไว้กัดแข่งในสนามครับ ด้วยความกัดเก่ง กรามแข็ง กัดไม่ปล่อยจึงเป็นความน่ากลัว ส่วนข้อดี สุนัขพันธุ์นี้รักเจ้าของมาก แต่เฉพาะเจ้าของเท่านั้นจริงๆ

ดังนั้น จึงอาจเป็นอันตรายต่อเด็กเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งแขกไปใครมานี่ไม่ต้องสงสัย ถ้าไม่ล่ามไว้ดีๆก็ไม่อาจรอดคมเขี้ยวมันไปได้

ทางที่เจ้าของควรศึกษาข้อมูล ลักษณะนิสัยใจคอ วิธีการเลี้ยงของพิทบูลก่อนที่จะนำมันมาเลี้ยงจะเป็นการดีที่สุด

ร็อตไวเลอร์

ชื่อนี้ดูจะคุ้นหูคนไทยเป็นพิเศษ เพราะในช่วง3-4ปีมานี้ ร็อตไวเลอร์ จองพื้นที่หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์บ้านเราอยู่เป็นระยะๆ ด้วยนิสัยดุ กัดแหลกของมันทำให้ล่าสุดถึงกับมีการสร้างหนังชื่อ ร็อตไวเลอร์ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับความร้ายกาจของสุนัขพันธุ์นี้

ในสายตาของคนทั่วไปมันจึงกลายเป็นไอ้ตัวร้ายที่หลายคนก็อดตั้งคำถามไม่ได้ในทุกครั้งที่มีข่าวว่า รู้ว่ามันดุแล้วจะเลี้ยงทำไม แต่สำหรับคนรักหมาแล้วกลับคิดต่างออกไปอีกด้าน โดยมองว่า ร็อตไวเลอร์ เป็นหมาที่สง่างาม แข็งแรง ซื่อสัตย์ บ้างถึงกับบอกว่าเชื่องและน่ารักมาก

หากดูตามประวัติความเป็นมา สุนัขขนาดใหญ่สายพันธุ์นี้ เคยถูกเลี้ยงไว้ใช้งานในการคุ้มกันกองคาราวานสินค้าในประเทศแถบยุโรป มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งเมื่อเสร็จจากงาน เจ้าของกองคาราวานสินค้าได้นำสุนัขเข้ามาพักผ่อนในเมือง ปรากฏว่า ชายขี้เมาคนหนึ่งพยายามเข้ามาทำร้ายเจ้าของสุนัข ร็อตไวเลอร์ จึงเข้าปกป้อง เมื่อหลายคนเห็นว่าสุนัขพันธุ์นี้มีทั้งพละกำลัง และความดุร้ายหวงแหนเจ้าของ จึงนำมาเพาะเลี้ยงใช้งานลักษณะนี้มาถึงปัจจุบัน

พันธุ์ของเจ้าสุนัขร็อตไวเลอร์ที่โด่งดังสุด เห็นจะเป็นพันธุ์ที่มาจาก 3 ประเทศหลัก คือ เยอรมนี สหรัฐอเมริกา และประเทศยูโกสลาเวีย

สายพันธุ์ที่มาจากประเทศเยอรมนี ถือว่าดุร้าย ก้าวร้าวที่สุด เนื่องจากธรรมชาติและเป้าหมายของการเพาะเลี้ยงในประเทศนี้มักใช้งาน ร็อตไวเลอร์ ในการคุ้มกันบุคคล-อารักขาอาณาบริเวณ การคัดเลือกสายพันธุ์ รวมถึงการฝึกจึงเน้นลักษณะการใช้งานเป็นหลัก สุนัขทุกตัวจึงต้องผ่านการตรวจจิตประสาท ก่อนจะนำไปขึ้นทะเบียนด้วย

ในสหรัฐอเมริกา จะเพาะเลี้ยง 'ร็อตไวเลอร์' ในลักษณะสุนัขเข้าสังคม ใจดี ใช้ชีวิตอยู่กับผู้คนในบ้าน ฝึกให้มีความสงบ ไม่ก้าวร้าว ถึงขนาดการประกวดสุนัขพันธุ์นี้ในสหรัฐ มีข้อกำหนดว่ากรรมการต้องสามารถอ้าปากได้โดยไม่ถูกกัด หากสุนัขมีอาการก้าวร้าวจะถูกตัดสิทธิ์ทันที

ขณะที่ยูโกสลาเวีย จะนำลักษณะเด่นของทั้งสหรัฐและเยอรมนี มารวมกันคือ ทั้งบึกบึน สงบ รวมถึงการฝึกคุ้มกันและอารักขาไปในตัวด้วย

สำหรับวิธีเอาตัวรอดจากการขย้ำของ ร็อตไวเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หากสุนัขเข้าโจมตีทางเดียวที่จะรอดพ้นคือ นอนนิ่งๆ(ถ้ากลั้นหายใจด้วยนี่เหมือนเจอหมี

แล้วแกล้งตาย) ห้ามต่อสู้โดยเด็ดขาด(อันนี้แล้วแต่ความเชื่อและความกล้าของแต่ละบุคคล เพราะเอาเข้าจริงจะมีสักกี่คนที่กล้านอนนิ่งๆ )

ส่วนเจ้าของฟาร์มสุนัข แนะนำว่าถ้าเข้าไปอยู่ในอาณาเขตของร็อตไวเลอร์มีโอกาสเสี่ยงที่จะถูกกัด หากมันตรงเข้ามาหาสิ่งแรกที่ต้องทำ คือ ยืนนิ่งๆ ห้าม

กระดุกกระดิก เพราะธรรมชาติของสุนัขพันธุ์นี้ จะไม่ชอบคนหลุกหลิก หรือท่าทางแบบกล้าๆ กลัวๆ หรือพวกคนแปลกหน้าเนื่องจากสัญชาตญาณปกป้องหวงแหนถิ่นที่อยู่
หากสุนัขวิ่งเข้ามาหาให้ยืนนิ่งๆ สุนัขจะหยุด หรือหากถูกกัดแล้วอย่าพยายามวิ่งหนี ปล่อยให้กัดเพียงครั้งเดียว แล้วมันจะค่อยๆ ปล่อยกรามออกมาเอง(แค่นึกภาพตามก็สยองแล้ว)
แต่หากเหยื่อดิ้นรนต่อสู้ สุนัขจะขย้ำและยิ่งบดเขี้ยวสะบัด เพื่อให้เหยื่อหยุดนิ่ง ที่สำคัญห้ามล้มลงโดยเด็ดขาด(ตรงข้ามกับที่ผู้เชี่ยวชาญบอกอย่างแรง) เพราะสุนัขจะเข้าฟัดจนเหยื่อแน่นิ่ง ทางที่ดีถ้าล้มลงก็ให้ นอนนิ่งๆ พยายามอย่าร้องกลั้นความเจ็บปวดไว้ สุนัขจะค่อยๆ สงบลงเอง อย่างเหยื่อเด็กที่ถูกกัดคงดิ้นรน ทำให้โดนฟัดจนเสียชีวิต

คนที่จะเลี้ยงเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ต้องมีเวลา ใส่สายจูงออกไปเดินนอกบ้านบ้าง ต้องพาเข้าสังคมให้เกิดความเคยชินกับสิ่งแวดล้อมรอบๆ บ้าน อย่าขังสุนัขไว้ในบ้านหรือกรงอย่างเดียว เพราะวันไหนถ้าหากหลุดออกไปนอกบ้าน สุนัขจะเกิดความระแวง หวาดกลัว และเข้าทำร้ายคนที่เดินผ่านไปมาอันตรายมาก
เจ้าของฟาร์มหมาระบุว่า ร็อตไวเลอร์ 90 เปอร์เซนต์เกลียดเด็ก หากจะเลี้ยงต้องให้โตมาพร้อมกัน พันธุ์นี้ควรเลี้ยงแต่เล็ก และเลี้ยงแบบปล่อย

อย่างไรก็ตาม คนเลี้ยงจะต้องให้ความรัก ใกล้ชิดพอสมควร ถ้าไม่มีเวลาหรือไม่พาไปวิ่งออกกำลัง ลักษณะร่างกายจะไม่สมบูรณ์ ยิ่งถูกขังในบ้านนาน จะกลายเป็นสุนัขที่อันตราย หากใครเข้าบ้านจะตรงไปทำร้ายทันที หรือหากหลุดออกจากบ้านจะเป็นอันตรายต่อคนอื่น

บางแก้ว

กลับมาที่พันธุ์ไทยกันบ้าง บางแก้ว จัดเป็นหมาไทยที่ได้ชื่อว่าดุที่สุดพันธุ์หนึ่ง และไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้เคยมีข่าวคนใช้ถูกบางแก้วกัดจนตายเหมือนกัน ทั้งนี้ก็ด้วยพิษสงของเคี้ยวเล็บที่แข็งแรงของมัน

ลักษณะภายนอกที่มีขนฟูฟ่องคล้ายหมาป่ากับเสียงเห่าที่ดังคล้ายกับเสียงคำรามดูปราดเดียวก็รู้ว่าดุ กระนั้น หากอยู่นิ่งๆไม่ออกอาการอะไร บางแก้วก็ดูเป็นสุนัขที่น่ารักพันธุ์หนึ่ง เพราะมีรูปร่างสง่างาม ขนยาวฟูสวย น่ารักน่าชัง ยิ่งตอนเล็กๆนี่คล้ายตุ๊กตามาก ซึ่งข้อนี้เองที่ต้องระวังมากกว่าหมาดุพันธุ์ยุดรปที่รูปลักษณ์ภายนอกบ่งบองได้ว่าดุ น่าเกรงขาม โดยเฉพาะเด็กๆที่ไม่รู้เดียงสาไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วมันดุแค่ไหนเข้าไปเล่นกับมันเพราะเห็นว่าน่ารักอาจโดนมันฝังเขี้ยวไว้เป็นที่ระลึก


สำหรับประวัติความเป็นมาของสุนัขไทยพันธุ์ บางแก้ว แหล่งกำเนิดของอยู่ที่ วัดบางแก้ว ต.บางแก้ว อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม สภาพภูมิประเทศทั่ว ๆ ไปนั้นยังคงเป็น ป่าพง ป่าระกำ ป่าไผ่ และต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัย ของสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ชุกชุม เช่น ช้างป่าเป็นโขลง ๆ หมูป่า ไก่ป่า สุนัขจิ้งจอก และหมาใน

ส่วนเหตุผลที่สันนิษฐานว่า สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วเป็นสุนัขลูกผสมสามสายเลือด พื้นที่ในเขต ต.บางแก้ว ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ ในอดีตนั้นเป็นป่าดงพงพีที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สัตว์ป่านานาชนิดรวม ทั้งสุนัขจิ้งจอก และหมาในอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โอกาสที่สุนัขจิ้กจอกและหมาในตัวผู้จะมาแอบลักลอบเข้ามาผสมพันธุ์กับสุนัขไทยตัวเมียที่เลี้ยงไว้ในวัดบางแก้วนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียวเพราะสุนัขป่าทั้งหลายนี้เป็นสุนัขที่กล้าหาญชาญชัย ว่องไว ใจปราดเปรียว แข็งแรง

เมื่อมีการผสมข้ามพันธุ์กันตามธรรมชาติ สุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว มีลักษณะดีเด่นปรากฏโฉมออกมาคือ มีขนยาว ขนมีลักษณะเป็นขนสองชั้นคล้ายอานม้า หางเป็นพวงสวยงาม มีขนแผงคอคล้ายแผงคอสิงโต ดุ เฉลียวฉลาด มีไอคิวสูง ไม่แพ้สุนัขพันธุ์ต่างประเทศ

ลักษณะพิเศษของสุนัขบางแก้ว

1.ลักษณะหน้าเสือ ใบหน้าดูคล้ายเสือ มีกะโหลกศีรษะใหญ่ หน้าผากกว้าง โคนหูตั้งอยู่ห่างกัน หูเล็กแบะออกเล็กน้อย แววตาเซื่องซึม พื้นสีตามักจะเป็นสี

เหลืองทองคล้ำ ม่านตาตรงกลางสีดำ มีขนย้อยจากโคนหูด้านล่างเป็นแผงที่คอ เรียกว่า แผงคอ แต่ไม่รอบคอ ขนมีทั้งฟูและไม่ฟู มีหางเป็นพวง ทั้งหางงอ และ

หางม้วน แลดูดุร้าย เป็นลักษณะของสุนัขบางแก้วที่ใหญ่ที่สุด

2. ลักษณะหน้าสิงโต มีกะโหลกศีรษะเล็กกว่าลักษณะหน้าเสือ หูเล็กเป็นรูปสามเหลี่ยม ป้องไปข้างหน้ารับกับใบหน้าอย่างสวยงาม ปากไม่เรียวแหลมมาก ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป มีขนยาวตั้งแต่โคนหูลงมาด้านล่าง เป็นแผงรอบคอ และมีขนเป็นเคราจากใต้คางย้อยลงมาเหมือนคอพอกลงมาถึงคอด้านล่าง ที่บริเวณรอบลำคอมีขนยาวโดยรอบ มีทั้งขนสั้นฟูและฟูยาว เมื่องมองจากดานหน้าจะมีลักษณะคล้ายสิงโต ลักษณะเท้ายาวอูม ขนยาวหุ้มปลายเท้าเล็กน้อย มองดูคล้ายเท้าหมี ขนมีทั้งยาวฟู สั้นฟู หางมีทั้งม้วนสูงและม้วนต่ำ เป็นพวงและไม่เป็นพวง ช่วงตอนหน้าใหญ่ตอนท้ายเล็ก ยามปกติแววตาและท่าทางเซื่องซึม แต่เมื่อเป็นศัตรูปรือคนแปลกหน้า จะเปลี่ยนเป็นดุร้ายและคล่องแคล่วว่องไวทันที ลักษณะหน้าสิงโตเป็นลักษณะที่หายามาก นาน ๆ จึงจะพบเห็นสักตัวหนึ่ง

3. ลักษณะหน้าจิ้งจอก มีใบหน้าแหลม หูใหญ่กว่าลักษณะหน้าเสือและหน้าสิงโต ใบหูไม่ตรงโย้ออกด้านข้าง มองดูเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ปากแหลมเรียวและค่อนข้างยาว ขนอ่อนยาวเรียบ ขนหางเป็นพวง รูปร่างมีทั้งใหญ่ กลางและเล็ก อุปนิสัยไม่ค่อยดุร้ายเหมือนสองพวกแรก



โดเบอร์แมน

เคยได้รับความนิยมอยู่ช่วงหนึ่งในไทย ก่อนการมาถึงของ พิทบูลและร็อดไวเลอร์ นิยมเลี้ยงไว้เฝ้ายามจึงมีนิสัยดุพอสมควร ในยุโรปเป็นสุนัขพันธุ์หนึ่งที่ใช้ล่าเนื้อเพราะความปราดเปรียวของมัน ด้วยรูปร่างสูงเพรียวตัวโตเต็มที่เหมือนกวางตัวย่อมๆ ส่วนเรื่องความเร็วจัดได้ว่าเป็นนักวิ่งตัวหนึ่ง

ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ สีขนเข้ม(ส่วนใหญเป็นสีดำ) หน้าดุ ตาออกขวางๆคล้ายๆตัวโกง มันจึงได้รับบทผู้ร้ายอยู่เป็นประจำ อย่างในการ์ตูนเรื่องเขี้ยวเงินของญี่ปุ่น หรือในหนังฮอลลีวู้ดก็ตาม

ส่วนใหญ่เราคุ้นหน้าคุ้นตาโดเบอร์แมนจากหนังหลายเรื่อง ที่รับบทเด่นสุดก็เรสซิเด็นท์อีวิล(สร้างมาจากเกมส์อีกที)หรือในชื่อไทยว่า ผีชีวะ กับการเป็นสุนัขเฝ้ายามที่โดนไวรัส กลายเป็นหมาบ้าหน้าตาน่าเกลียดที่พร้อมจะฉีกเนื้อคน นอกจากเรื่องนี้ พวกหนังสายลับบุกไปตามคฤหาสน์ผู้ร้าย พระเอกจะต้องเจอกับเจ้าโดเบอร์แมน เป็นด่านแรกๆ


โดเบอร์แมน มีที่มาจากเมือง APODA ประเทศเยอรมันนี ผสมขึ้นมาเมื่อประมาณปี คศ.1890 โดยชาวเยอรมันนีชื่อ หลุยส์ โดเบอร์แมน คุณสมบัติพิเศษของสุนัขพันธุ์นี้อยู่ที่ ความสง่า ความฉลาด ความจำที่ดีเยี่ยม เชื่อฟัง

อนึ่ง โดเบอร์แมนเกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ของสุนัขพันธุ์ SHORTHAIRED SHEPHERD , ROTTWEILER ,BLACK - TAN TERRIER และ GERMAN PINSCHER

คนทั่วไปจึงมองภาพลักษณ์ของ โดเบอร์แมน เป็นไอ้หมาโหดที่ชอบวิ่งไล่กัดคน ทั้งๆจริงๆแล้วหากเลี้ยงดีๆ โดเบอร์แมนมีโอกาสเชื่องได้ ดังจะเห็นได้ว่ามีเจ้าหน้าที่ในหลายประเทศนำ โดเบอร์แมน ไปฝึกเป็น สุนัขตำรวจ สุนัขรักษาความปลอดภัยหรือแม้แต่สุนัขยาม(มีข่าวว่าหมาพันธุ์นี้เคยเป็นฮีโร่ด้วยการช่วยชีวิตเด็กจากการถูกงูกัดมาแล้ว)


ในมุมของคนรักโดเบอร์แมน มองว่ามันเป็นสุนัขขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ ขนสั้นที่มีมีความสวยสง่างามแบบ สวยหล่อสุดๆ โดยลักษณะนิสัยเป็นสุนัขที่มีการเคลื่อนไหวได้รวดเร็วและมีจิตประสาทสัมผัสที่ไวมาก มีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาและที่สำคัญที่สุดเลี้ยงง่ายเหมาะสำหรับประเทศไทยเป็น

ลักษณะทั่วไปรูปร่างปานกลาง ไม่อ้วน สมบูรณ์ไปด้วยกล้ามเนื้อ สูง 65-70 เซนติเมตร หนักประมาณ 20-26 กิโลกรัม ส่วนหัวยาว ปากยาว ฟันคม แข็งแรง ขนสีดำอาจมีสีน้ำตาลบ้าง ธรรมชาติใบหูตกแต่นิยมถูกตัดแต่ง ให้หูตั้ง รวมถึงหางก็ถูกตัดตามแฟชั่น ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเลี้ยงโดเบอร์แมนได้ดี มันเป็นสุนัขค่อนข้างใหญ่แข็งแรงและฉลาด ต้องการ การออกกำลังกายโดยการเดินหรือวิ่งทุกวัน ต้องได้รับการฝึกที่ดีและมีเจ้าของที่ฉลาดมั่นคงเชื่อถือได้ นอกจากนั้นยังต้องการความเอาใจใส่และความรักจากเจ้าของเป็นอย่างมากอีกด้วย

อัลเซเชี่ยน

หากดูตามสายพันธุ์ อัลเซเชี่ยน หรือ เยอรมันเช็พเพอด ถือเป็นสุนัขที่ได้ชื่อว่าดุพอสมควร มีเขี้ยวเล็บแหลมคม แข็งแรงแต่ก็ว่องไว เห่าเสียงดัง ขู่ก็น่ากลัว แต่ด้วยความฉลาด เรียนรู้เร็ว เชื่อฟังคำสั่งทำให้ อัลเซเชี่ยนกลายเป็นพันธุ์ยอดนิยมที่สุดพันธุ์หนึ่ง

ทว่า หากพูดถึงเรื่องของภาพลักษณ์แล้ว อัลเซเชี่ยนดูจะดีกว่าสุนัขดุพันธุ์อื่นอยู่มาก รวมทั้งข่าวคราวในเรื่องเสียหายก็ไม่ค่อยมี ดังนั้น ในวงการบันเทิงบทของ อัลเซเชี่ยน จึงเป็นสุนัขฉลาดแสนรู้ ซื่อสัตย์ ขนาดเป็นพระเอกก็ยังมี แถมยังมีฉากช่วยชีวิตคนอยู่บ่อยๆ(ในชีวิตจริงก็มีบ่อยๆเหมือนกัน)

อัลเซเชี่ยนมีถิ่นกำเนิดในประเทศเยอรมัน วีรกรรมสุดยอดของมันคือการที่ผู้คนนับพันนับหมื่นที่ต้องอยู่ในโลกมืด(ตาบอด) ได้อาศัยเจ้าเยอรมันเช็พเพอดนี่แหละที่คอยเป็นพี่เลี้ยงนำทางไหนต่อไหนได้ พิทักษ์สันติราษฎร์ในเยอรมันนี แคนาดา ตามตรอกซอกซอยของบัลติมอร์ หรือในสวนสาธารณะของไฮด์ปาร์คที่มืดสลัว ไปด้วยม่านหมอกในใจกลางกรุงลอนดอน ย่อมรู้ดีว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมงานรักษากฎหมาย ที่ไม่ย่นระย่ออย่างใดทั้งสิ้น เขาทำหน้าที่เฝ้าเหมืองเพชรในคิมเบอร์ลี่ย์ก็ได้ เฝ้าโรงเรียนในนิวยอร์คก็ได้
หรือให้เฝ้าฐานทัพอากาศที่ทริโปลีก็ได้ ไม่มีใครสามารถคำนวณได้ว่าสุนัขพันธุ์เยอรมันเช็พเพอด ได้ช่วยชีวิตคนไว้เท่าไรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่สอง โดยที่การดมกลิ่นหาทหารบาดเจ็บบ้าง ถือสารและลำเลียงเวชภัณฑ์บ้าง คอยเตือนหน่วยลาดตระเวนในป่าต่อการถูกซุ่มโจมตีบ้าง
ตลอดจนการตรวจรักษาแนวชายฝั่งทะเลเพื่อกันการก่อวินาศกรรม และค้นหาชาวบ้านที่ถูกซากปรักหักพังทับถมอยู่เนื่องจากการถูกระเบิดทางอากาศ ในยามไม่มีศึกสงคราม มันก็ทำงานเป็นการกุศล

เนื่องจากจมูกที่ไวสามารถนำคนค้นหาพวกที่ถูกหิมะถล่ม ฝังเอาไว้ในเทือกเขาแอลป์ของสวิส ในปัจจุบันสุนัขพันธุ์นี้มีรูปร่างที่สวยงาม เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง เป็นผลมาจากการผสมของสุนัขต้อนแกะหลายชนิดมานับศตวรรษ ซึ่งรวมเอาสุนัขที่มีขนาดย่อมแต่ว่องไวของท้องทุ่งเยอรมันภาคเหนือ กับสุนัขที่โตล่ำสันกว่าของภูมิภาคที่เป็นขุนเขาทางใต้เอาไว้ด้วย
แม้จะสิ้นศตวรรษที่ 19 ยุคเลี้ยงแกะของเยอรมันได้สิ้นสุดลง แต่อย่างไรก็ตามนักเพาะพันธุ์สุนัขไม่กี่คนก็ยังพยายามสงวนพันธุ์อันมีคุณสมบัติอันวิเศษในการเลี้ยงแกะเอาไว้ ซึ่งนับว่าควรแก่การยกย่องมากที่สุดได้แก่ ร้อยเอกทหารม้าผู้หนึ่งชื่อ มาร์กฟอนสเตฟานิตช์ ซึ่งได้ลงเรี่ยวลงแรงแข็งขัน เพื่อที่จะทำให้สุนัขพันธุ์นี้เข้ามาตรฐาน
โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1889 และได้เจริญเติบโตเรื่อยมาจนมาเป็นสโมสรสุนัขที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง โดยการเพาะพันธุ์สุนัขอย่างเดียว จากความพยายามของร้อยเอกฟอนสเตฟานนิตช์กับพรรคพวก ที่ได้พยายามเสาะหาสุนัขที่ใช้งานได้ดีและฉลาด และแล้วผลที่ได้ก็น่าภาคภูมิใจ ที่เมื่อมองสุนัขพันธุ์นี้ขณะที่มันปฏิบัติตามคำสั่งของนายโดยไม่ผิดพลาด



ลักษณะโดยทั่วไป สิ่งที่ประทับใจของผู้ที่ได้พบเห็นเยอรมันเช็พเพอดที่ดีคือ ความแข็งแรงว่องไว เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อตื่นตัวและมีชีวิตชีวา มองโดยรวมแล้วจะกลมกลืนและได้สัดส่วนกันระหว่างส่วนหน้าและส่วนท้าย ตัวจะยาวกว่าส่วนสูง ลำตัวลึก เส้นรอบตัวจะเป็นเส้นโค้งที่กลมกลืนแทนที่จะเป็นเหลี่ยมมุม มีขนาดค่อนข้างใหญ่และอ่อนแอ ให้ความรู้สึกไม่ว่าจะอยู่นิ่งหรือเคลื่อนไหวถึงความกระชับของกล้ามเนื้อและการเคลื่อนที่อย่างนุ่มนวล

นิสัยของเยอรมันเช็พเพอดมีบุคลิกที่เด่นชัดคือ มีการแสดงออกถึงความไม่หวาดหวั่นแต่ก็ไม่ก้าวร้าว มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความกระตือรือร้นและตื่นตัวกระฉับกระเฉง เต็มใจจะรับใช้เต็มที่ในลักษณะของการเป็นเพื่อน เป็นสุนัขเฝ้าบ้านนำทางผู้ที่อยู่ในโลกมืด เป็นสุนัขต้อนฝูงสัตว์ หรือทำหน้าที่อารักขา สุนัขจะไม่ขี้ขลาดหรือหลบอยู่หลังผู้เป็นเจ้านาย ไม่ควรจะอ่อนไหว ไม่มองไปรอบๆ หรือแหงนหน้ามอง ไม่แสดงอาการตื่นตระหนก โดยจะหางตกเมื่อได้ยินเสียงหรือมองเห็นสิ่งแปลกๆ หากสันขมีอุปนิสัยดังกล่าวข้างต้นจะถูกตัดสินว่ามีความบกพร่องอย่างร้ายแรง สุนัขจะต้องยอมให้กรรมการตรวจฟันและลูกอัณฑะ

ถ้าหากสุนัขกัดกรรมการจะต้องถูกไล่ออกจากสนามประกวด สุนัขที่อยู่ในอุดมคติควรที่จะสามารถใช้งานในลักษณะที่ไม่หยิบโหย่ง ผสมผสานกับลำตัวและการก้าวย่างที่เหมาะกับงานการที่ทำ ซึ่งเป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน

เดินทางด้วยหัวใจ
power by trekkerhut.com

Saturday, August 2, 2008

หัวเราะ สุขภาพยืนยาว


หัวเราะยืนยง สุขภาพยืนยาว


นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ถ้าเรานำเสียงหัวเราะมาสังเคราะห์เป็นยาได้ เราคงจะมียาวิเศษที่สามารถรักษาโรคทุกชนิดได้ตั้งแต่ โรคซึมเศร้าไปจนถึงโรคร้ายแรงอย่างโรคหัวใจเลยทีเดียว

การหัวเราะทำให้อวัยวะทุกส่วนตั้งแต่หัวใจ ปอด กล้ามเนื้อ สมอง ไปจนถึงระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานได้อย่างดี

การหัวเราะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนเราได้ 2 ทาง คือ ทางแรก เพิ่มระดับความเข้มข้นของแอนตี้บอดี้ที่เป็นภูมิคุ้มกันหมุนเวียนอยู่ในกระแสเลือด ส่วนทางที่สอง เป็นการเพิ่มระดับเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นตัวกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่หลุดเข้ามาในร่างกาย การเปลี่ยนแปลงทั้ง 2 แบบนี้ จะช่วยทำให้เรามีภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ มากขึ้นนั่นเอง

ในอเมริกา แคนาดา อังกฤษ อินเดีย และอีกหลายๆ ประเทศ การรักษาผู้ป่วยด้วยการหัวเราะกำลังเข้ามาแทนที่การบำบัดด้วยการใช้ยาคลายเครียด และยาแก้ปวด เพราะอารมณ์ขันให้ผลเช่นเดียวกับการออกกำลังกาย เป็นการเพิ่มระดับฮอร์โมนฝ่ายดี เช่น ฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน (endorphin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยระงับความเจ็บปวด และ neurotransmitter เช่น ฮอร์โมนเซโรโทนิน (serotonin) เป็นฮอร์โมนที่ทำให้เราอารมณ์ดี ขณะเดียวกันก็ทำให้ระดับฮอร์โมนความเครียด cortisol และ stimulant ลดลง

นักวิจัยจากแสตนฟอร์ดพบเช่นเดียวกันว่า หัวเราะเพียง 10 วินาที มีค่าเท่ากับการออกกำลังกายบนเครื่องกรรเชียงถึง 3 นาที เพราะการหัวเราะทำให้หัวใจ และชีพจรเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย เมื่อหยุดหัวเราะร่างกายจะค่อยๆ เข้าสู่ภาวะปกติ จึงรู้สึกผ่อนคลาย ดังนั้นคนเราน่าจะสนุกกับชีวิตให้มากกว่านี้ อย่าเครียดหรือจริงจังกับชีวิตจนเกินไป ปล่อยวางเสียบ้าง เพิ่มอารมณ์ขันให้กับตัวเองอีกวันละนิดพิชิตความเครียดได้วันละหน่อย ปกติอาจเป็นคนที่ไม่เคยอ่านการ์ตูน เรื่องขำขัน หรือสนใจทอล์กโชว์ ก็ลองหามาอ่านมาดูบ้าง ไม่ใช่เรื่องไร้สาระอย่างที่คิด บางครั้งคนเราก็ควรเติมสิ่งที่ขาดหายไปในตัวเองเพิ่มเข้าไป

การทำตัวเป็นเด็กบ้างก็จะรู้สึกสนุกกับชีวิตมากขึ้น ไม่เชื่อคุณลองสังเกตดูคนขี้เล่นมักจะเป็นคนมีเสน่ห์ที่ใครๆ หลงใหลชอบพูดคุยด้วยเสมอ คนที่หัวเราะเก่งๆ จะมีความคิดสร้างสรรค์ดีกว่าคนช่างเครียด และคนส่วนใหญ่ที่มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานก็มักจะเป็นคนที่มีอารมณ์ขันด้วยเช่นกัน….แล้วคุณเป็นแบบไหนล่ะครับ?


ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today

สุริยุปราคา 1 สิงหาคม 2551

"สุริยุปราคา" วันที่ 1 สิงหานี้ หลายที่เห็นเต็มดวง แต่ของไทยเห็นได้บางส่วน ในยามพระอาทิตย์กำลังลา กูรูดาราศาสตร์ชี้ "หมอผีเขมร" ทำคุณไสยในวัน "สุริยุปราคา" ไม่มีผลอะไร เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ดวงจันทร์คั่นกลางระหว่างโลกและดวงอาทิตย์ ทำให้เงาทาบลงบนโลก ระบุพิธีกรรมดังกล่าวเป็นความเชื่อส่วนบุคคลซึ่งวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ แต่วิทยาศาสตร์อธิบายปรากฏการณ์ได้

ในวันที่ 1 ส.ค.51 หลายพื้นที่ทั่วโลก มีโอกาสเห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง อาทิ แคนาดา กรีนแลนด์ มหาสมุทรอาร์กติก รัสเซีย มองโกเลีย และตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน แต่สำหรับประเทศไทย จะเห็นเป็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาบางส่วนเท่านั้น โดยสัดส่วนที่ดวงอาทิตย์ถูกดวงจันทร์บังจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ของไทย และปรากฏการณ์เริ่มเกิดขึ้นในช่วงเย็น ที่ตะวันใกล้ลับขอบฟ้า ดังนั้นเราคนไทยจึงไม่ได้เห็นช่วงที่ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์เต็มที่

จากข้อมูลในเว็บไซต์ของสมาคมดาราศาสตร์ไทยที่เสนอโดยนายวรเชษฐ์ บุญปลอด แสดงการเกิดสุริยุปราคาบางส่วนในแต่ละพื้นที่ของไทย สำหรับกรุงเทพฯ ปรากฏการณ์จะเริ่มขึ้นเวลา 18.02 น. นครราชสีมาเริ่มเวลา 18.12 น. เชียงใหม่เริ่มเวลา 17.54 น. และสงขลาเริ่มเวลา 18.14 น. โดยพื้นที่ทางภาคเหนือจะเห็นดวงอาทิตย์ถูกบังมากกว่าภาคอื่นๆ

สำหรับผู้ต้องการตรวจสอบเวลาเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาในพื้นที่อื่นๆ ตรวจสอบได้ที่
http://thaiastro.nectec.or.th/skyevnt/eclipses/200808tse-table.html

โดยปกติห้ามดูสุริยุปราคาบางส่วนด้วยตาเปล่าแต่เนื่องจากปรากฏการณ์ครั้งนี้เกิดใกล้ขอบฟ้ามาก นายวรเชษฐ์จึงระบุในเว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ว่า สามารถดูปรากฏการณ์ด้วยตาเปล่าในระยะเวลาสั้นๆ ได้ครั้งละ 2-3 วินาที เมื่อดวงอาทิตย์ใกล้แตะขอบฟ้า

ทั้งนี้เขาได้เสนอวิธีดูที่ปลอดภัย คือต้องใช้แผ่นกรองแสงที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ หรือดูทางอ้อมโดยให้แสงผ่านกล้องสองตา หรือกล้องโทรทรรศน์ แล้วใช้ฉากรับภาพเพื่อดูปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หรืออีกวิธีคือตัดกระดาษเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด 1 เซนติเมตรแล้วทาบติดกับกระจกเงา จากนั้นใช้กระจกดังกล่าวสะท้อนแสงอาทิตย์ให้ไปตกที่ผนังสีอ่อนหรือฉากรับสีขาว จะได้ภาพสะท้อนของดวงอาทิตย์บนฉาดังกล่าว

อย่างไรก็ดีแม้สุริยุปราคาจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่ก็มีกระแสข่าวว่า หมอไสยศาสตร์กัมพูชาเตรียมทำพิธีกระทำพิธีกดดวงเมืองประเทศไทยใจกลางปราสาทพระวิหาร ในวันดังกล่าวตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ ที่ถือเป็นวันอาถรรพ์และตรงกับวันพระในแรม 15 ค่ำ เดือน 8 ผู้จัดการวิทยาศาสตร์จึงได้สอบถามความเห็น ต่อเรื่องนี้จากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงดาราศาสตร์

อาจารย์นิพนธ์ ทรายเพชร ราชบัณฑิตดาราศาสตร์กล่าวกับผู้จัดการวิทยาศาสตร์ว่า สุริยุปราคาเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่เกิดเป็นประจำเมื่อดวงจันทร์มาอยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ว่าไปแล้วก็มีอิทธิพลต่อโลกน้อยมาก

เมื่อก่อนคนไม่เข้าใจว่าคืออะไรก็บอกว่ายักษ์มากัดกินดวงอาทิตย์เป็น "ราหู" ซึ่งจริงๆ ไม่มี แต่ที่มีจริงๆ คือดวงจันทร์ไม่มีแสงในตัวเอง ดวงอาทิตย์มีแสงในตัวเอง เมื่อดวงจันทร์มาอยู่ระหว่างโลกกับดวงจันทร์ เงาที่พาดมาหากเป็นเงามืดก็เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง หากเป็นเงามัวก็เกิดสุริยุปราคาบางส่วน

"สุริยุปราคาไม่มีอิทธิพลต่อโลกเลย แต่ที่คนกลัวเพราะปกติเห็นดวงอาทิตย์อยู่เป็นประจำ เมื่อดวงอาทิตย์มืดลงก็กลัว คนเรากลัวความเปลี่ยนแปลงที่อธิบายไม่ได้ ยิ่งสุริยุปราคาคนเราเห็นว่าแปลกก็คิดไปต่างๆ นานา สมัยก่อนคิดว่าเป็นเรื่องไม่ดี เพราะว่าแสงอาทิตย์ซึ่งให้ความสว่างถือเป็นสิ่งดี เมื่อมีสิ่งทำให้ส่องมาไม่ถึงก็ถือเป็นเรื่องไม่ดี คุณไสยก็เป็นสิ่งไม่ดี แต่ถ้าเราบำเพ็ญภาวนา ถือศีล ทำจิตให้เข้มแข็ง สิ่งไม่ดีก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ยิ่งเชื่อก็ยิ่งกลัว" ราชบัณฑิตดาราศาสตร์กล่าว

ทางด้าน รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) กล่าวว่า คุณไสยเป็นเรื่องความเชื่อของคน เป็นศาสตร์หนึ่งที่อยุ่ในเมืองไทยและมีกลุ่มคนเชื่อถือ แต่ทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ สิ่งที่วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้คือปรากฏการณ์

รศ.บุญรักษาบอกว่า สุริยุปราคาเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นถึงปีละ 2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับว่าจะไปเกิดที่ไหนเท่านั้น ในวันที่ 22 ก.ค.52 ก็จะเกิดสุริยุปราคาบางส่วนที่เมืองไทยอีกครั้ง โดยจะเห็นดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์มากถึง 80-90%

ทั้งนี้ สดร.จะได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งกล้องดูดาวที่คณะวิทยาศาสตร์สำหรับดูปรากฏการณ์ แต่จริงๆ แล้วปรากฏการณ์นี้สามารถสังเกตได้ทุกที่ในช่วงเวลาใกล้ 18.00 น. ซึ่งช่วงที่ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ก็อาจจะมองปรากฏการณ์ด้วยตาเปล่าได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพราะแสงอาทิตย์เบาบางลงมากแล้ว แต่ถ้าช่วงที่ฟ้าใสอยู่ก็ต้องใช้แผ่นกรองแสง หรืออีกวิธีอาจใช้กล้องสองตาหรือกล้องดูดาวรับแสงแล้วให้ตกลงบนฉากก็นับเป็นวิธีที่ปลอดภัย

ส่วนนายอารี สวัสดี อุปยานกสมาคมดาราศาสตร์ไทยให้ความเห็นกับผู้จัดการวิทยาศาสตร์ว่า ไม่มีอะไร ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องปกติ ทำใจให้สบาย ทางดาราศาสตร์นั้นสุริยุปราคาเป็นเรื่องที่ต้องเกิดเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งเหตุการณ์จะเกิดขึ้นไปสิ้นสุดที่ 19.21 น. สำหรับเมืองไทยเห็นตั้งแต่ 16.24 น.ไปจนถึงเวลาที่ตะวันตกดินซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะเห็นไม่เท่ากัน ส่วนหมอผีเขมรนั้นทำอะไรไม่ได้ ความดีก็คือความดี ความจริงก็คือความจริง.

Friday, August 1, 2008

ไดโนเสาร์ บินได้


กิ้งก่าโลกล้านปีบินได้ 30 ฟุต-นักโบราณคดีเปิดเผยรูปภาพไดโนเสาร์บินได้ ที่เคยอยู่ในโลกเมื่อ 235 ล้านปีก่อน

ไดโนเสาร์บินได้นี้มีชื่อว่า "คูเอห์นีโอซอร์ส" มีรูปร่างคล้ายกับกิ้งก่า อาศัยอยู่ในป่าในทวีปยุโรป ตัวโตเต็มที่ประมาณ 2 ฟุต

ในการบินแต่ละครั้ง มันบินได้เป็นระยะทาง 30 ฟุต นักวิทยาศาสตร์โดยส่วนใหญ่เชื่อว่า นกวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลานเมื่อ 50 ล้านปีก่อน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า "คูเอห์นีโอซอร์ส" อาจเป็นบรรพบุรุษของนก

ฟอสซิล "คูเอห์นีโอซอร์ส" พบที่ประเทศอังกฤษ เมื่อกว่า 50 ปีก่อน แต่ไม่เคยมีใครศึกษาเรื่องแอโรไดนามิกของกิ้งก่าบิน กระทั่งนายโคเอน สไตน์ นักสัตว์และพืชโบราณวิทยาชาวเยอรมัน นำฟอสซิลมาศึกษา พร้อมทำแบบจำลองของ "คูเอห์นีโอซอร์ส" พร้อมนำไปทดสอบในอุโมงค์ลมของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบริสทอล ประเทศอังกฤษ จนพบว่า แอโรไดนามิกของ "คูเอห์นีโอซอร์ส" ค่อนข้างดีและมั่นคง มันสามารถบินจากต้นไม้ต้นนั้น ไปยังต้นไม้ต้นนี้ ที่อยู่ห่างกัน 30 ฟุตได้

Thursday, July 31, 2008

วันสารทจีน


       มีตำนานที่เล่าขานต่อกันมาหลายตำนานเกี่ยวกับเทศกาลสารทจีน อาทิ เทพเจ้าแห่งดิน หรือเจ้าดิน เช็งฮือไต้ตี่ จะทำบัญชีชำระวิญญาณ เพื่อส่งวิญญาณที่ทำดีมากๆ ขึ้นสวรรค์ ส่วนวิญญาณที่ทำบาปก็ต้องตกนรกรับโทษ แต่ท่านก็ยังมีเมตตาอนุญาตให้พวกวิญญาณในนรกขึ้นมารับของเซ่นไหว้ในช่วงเดือนนี้ได้
       
       บางตำนานเล่าว่าสามีภรรยาคู่หนึ่งมีลูกชายซึ่งได้บวชเป็นพระในพุทธศาสนา ต่อมาบิดาได้บำเพ็ญเพียรบรรลุมรรคผลสู่สวรรค์ แต่มารดาได้ทำกรรมละเมิดศีลลบหลู่ศาสนา เมื่อตายแล้วจึงตกสู่นรกภูมิ ซึ่งขณะนั้นลูกชายได้บำเพ็ญเพียรจนได้อภิญญา 6 เห็นมารดาของตนตกอยู่ในเปรตภูมิ ด้วยความกตัญญูจึงใช้อิทธิฤทธิ์ส่งอาหารไปให้มารดากิน แต่ได้ถูกบรรดาภูตผีที่อดอยากรุมแย่งไปกินหมด และเม็ดข้าวสุกที่ป้อนนั้นกลับเป็นไฟเผาไหม้ริมฝีปากของมารดาจนพอง
       
       ด้วยความกตัญญูและสงสารมารดา บุตรชายจึงได้ทูลขอพญามัจจุราชรับโทษแทนมารดาทั้งหมด แต่ก่อนที่บุตรชายจะต้องรับโทษ พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงมาโปรด โดยกล่าวว่า กรรมใดใครก่อก็ย่อมเป็นกรรมของผู้นั้น พร้อมทั้งกล่าวว่าการจะช่วยมารดาที่มีกรรมหนัก ลำพังบุตรชายเพียงคนเดียวไม่พอ ต้องอาศัยแรงกุศลของเหล่าสงฆ์ทุกสารทิศ และจัดเตรียมผลไม้ถวายแด่ผู้ทรงศีลและแผ่กุศลให้มารดาในวันที่ 15 เดือน 7 เดือนที่ประตูนรกจะเปิดจึงจะสามารถช่วยมารดาของเขาให้พ้นโทษได้ ตั้งแต่นั้นมา ทุกปีวันที่ 15 เดือน 7 ของจีน จึงถือเป็นเทศกาลวันสารท ชาวจีนทุกครัวเรือนจะจัดอาหารเซ่นไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติทั้งหลาย
       
       โดยในวันสารทจีนในช่วงเช้าจะมีการเซ่นไหว้เจ้าที่ก่อน ด้วยของเซ่นไหว้ อาทิ อาหารคาวหวาน ขนมเข่ง ขนมเทียน ขนมถ้วยฟู ขนมกุยช่าย ผลไม้ น้ำชา เหล้าจีน กระดาษเงินกระดาษทอง และธูปเทียน แล้วจึงเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ซึ่งจะมีของไหว้คล้ายกับไหว้เจ้าที่ แต่จะมีลักษณะพิเศษคือสำรับอาหารที่เป็นสิ่งมีชีวิต 5 อย่าง (อู่เซิง/ภาษาแต้จิ๋วเรียก โหงวแซ) นิยมใช้เนื้อหมู ไก่ เป็ด ปลา และไข่ไก่ หรือ 3 อย่าง เรียกว่า ซันเซิง (ภาษาแต้จิ๋ว เรียกว่า ซาแซ) ถ้าตามประเพณีดั้งเดิมจะใช้เนื้อวัว เนื้อหมู และเนื้อแพะ นอกนั้น จะมีข้าวสวย และมักมีน้ำแกงด้วย ส่วน ขนมเข่ง ขนมเทียน ผลไม้ และกระดาษเงินกระดาษทองก็ยังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการเซ่นไหว้
       
       และนอกจากการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ชาวจีนก็ได้ถือโอกาสเดือนที่ประตูนรกเปิดนี้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรดาภูตผีไม่มีญาติไปด้วย โดยเรียกประเพณีนี้ว่า 'ทิ้งกระจาดวิญญาณ' ซึ่งจะจัดร่วมอยู่ในเดือน 7 นี้เช่นกัน
       
       พิธีทิ้งกระจาด คือการทำบุญอุทิศให้ดวงวิญญาณร่วมไปกับการแจกทานให้ผู้มีชีวิตที่ยากไร้ งานทิ้งกระจาดจึงต้องทำทั้งสองส่วน ทำบุญกันในศาลเจ้าก่อน แล้วจึงมาแจกของให้คนยากคนจน จิตรา ก่อนันทเกียรติ นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน เล่าว่า ประเพณีทิ้งกระจาดนี้ ทางศาลเจ้าต่างๆ จะกำหนดวันใดวันหนึ่งในช่วงเทศกาลสารทจีน แต่มักจะกำหนดวันในช่วงปลายเทศกาล โดยเป็นการไหว้ด้วยของไหว้ต่างๆ พร้อมทำบุญทิ้งทานคนจนแล้วอุทิศกุศลผลบุญทั้งหมดแก่ทุกดวงวิญญาณโดยไม่เลือกว่าใครเป็นใคร ไม่เฉพาะเจาะจง
       
       และในวันทิ้งกระจาดจะมีภูตผีดวงวิญญาณมากมายมารับของไหว้ ซึ่งอาจจะมีเรื่องชุลมุนกันในหมู่ภูตผี ศาลเจ้าจึงมักมีการตั้งไหว้องค์พญายมเป็นพิเศษเพื่อขอบคุณที่ท่านมาช่วยจัดระเบียบดูแลเหล่าภูตผีให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และในขณะการแจกทานแก่ดวงวิญญาณทั้งหลาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็อาจจะอยากมีมือมาช่วยแจกมากๆ ทางศาลเจ้าจึงมีการไหว้ซาลาเปามือเป็นถาดใหญ่ๆ เพื่อเป็นมือที่ช่วยเทพเจ้าแจกทาน เรียกว่า ซาลาเปาฮุดชิ่ว หรือ ซาลาเปามือพระพุทธ
       
       จิตรา กล่าวว่า "นอกจากจะไหว้เจ้าที่ พ่อแม่บรรพบุรุษแล้ว ยังไหว้ผีไม่มีญาติด้วย คือไหว้ทำบุญ ไหว้ทำทาน นอกจากจะไหว้ผีไม่มีญาติที่หน้าบ้านตนเองตลอดเดือน ยังมาไหว้ที่ศาลเจ้าเพื่อทำบุญ โดยใช้ของไหว้พวกข้าวสารอาหารแห้ง ซึ่งเป็นการทิ้งทานให้คนยากคนจน เพื่อส่งกุศลผลบุญอันนี้ไปให้ภูตผีไม่มีญาติอีกต่อหนึ่งด้วย ดังนั้น ประเพณีทิ้งกระจาดจึงเป็นเหมือนเทศกาลแบ่งปันน้ำใจซึ่งกันและกัน"
       
       จุดประสงค์หนึ่งของวันสารทจีนก็เพื่อเซ่นไหว้พวกผีไร้ญาติ ให้พวกเขาได้รับรู้ถึงความอบอุ่นและมิตรไมตรีของเหล่ามนุษย์ ซึ่งถือเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ยังเป็นการให้ทานคนจน หรือผู้ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ โดยทำบุญบริจาคข้าวสาร อาหารแห้ง หมวก กระดาษ เส้นหมี่ จึงถือได้ว่าประเพณีทิ้งกระจาดเป็นประเพณีแห่งการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปันน้ำใจให้แก่กันและกันในสังคม
       
       จิตรายังเล่าเสริมอีกว่า ในสมัยก่อนที่ตนเคยมาทำบุญทิ้งกระจาดจะเห็นแต่หมวกเหมือนหมวกทำนา กว้างหน่อยก็หมวกกันฝน ข้าวสาร และยังนิยมทำบุญโรงศพ ผ้าดิบห่อศพ เพราะคนตายไม่มีญาติเยอะ หลังๆ มีการตลาดเข้ามา ไหว้ข้าวสารอย่างเดียวชักจะเบื่อ เลยมีไหว้มาม่า วุ้นเส้น เส้นหมี่ น้ำดื่ม ยารักษาโรค เพิ่มขึ้นมาด้วย
       
       ในวันประเพณีทิ้งกระจาด ที่แล้วแต่ทางศาลเจ้าแต่ละแห่งจะกำหนดภายในเดือน 7 นี้ ทางศาลเจ้าจะนำข้าวสาร อาหารแห้ง และของใช้ต่างๆ ที่ผู้คนได้นำมาทำบุญที่ศาลมาแจกจ่ายให้กับคนยากคนจน โดยแต่ละศาลเจ้าก็จะมีเงื่อนไขแตกต่างกันไป เช่น บางศาลเจ้าต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านมาลงทะเบียนตามวันเวลาที่กำหนด เป็นต้น
       
       โดยศาลเจ้าที่ผู้คนมักจะนิยมมาร่วมทำบุญทำทานและร่วมรับบุญรับทานก็คือที่ 'ศาลเจ้าไต้ฮงกง' ถนนพลับพลาไชย เพราะเชื่อว่าท่านไต้ฮงกงเป็นพระผู้มีความเมตตากรุณา และเป็นผู้ริเริ่มบำเพ็ญกุศลในการจัดฌาปนกิจศพไร้ญาติสมัยราชวงศ์ซ้องเมื่อเกือบพันปีล่วงมาแล้ว ในเวลาต่อมาได้จัดตั้งคณะเก็บศพไต้ฮงกง เพื่อทำการเก็บและจัดการงานศพอนาถา ต่อมาเปลี่ยนชื่อคณะเป็น 'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง'
       
       ผู้คนจึงนิยมมาทำบุญทิ้งกระจาดกันที่ศาลเจ้าไต้ฮงกง เนื่องจากการทำบุญทิ้งกระจาดมีความครบถ้วนทั้งการทำบุญและให้ทาน เป็นอีกรูปธรรมหนึ่งที่สอดคล้องกับจริยวัตรของท่านไต้ฮงกง ซึ่งจะช่วยเหลือทั้งผู้ยากไร้ที่ตายอย่างไร้ญาติและผู้ที่ยังต้องสู้ชีวิตความยากจนต่อไป
       
       ดังนั้น งานประเพณีทิ้งกระจาดจึงเป็นประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา เพื่อสร้างความเอื้ออาทรกันในหมู่สมาชิกของสังคมส่วนใหญ่ โดยถือว่าการทำบุญให้ทานนี้เป็นเครื่องลดความเห็นแก่ตัวลง
       
       ในย่านคนจีนเยาวราช ก็จะคึกคักขึ้นในช่วงของงานเทศกาลจีนต่างๆ ซึ่งไม่ใช่แค่เทศกาลสารทจีนเท่านั้น ในทุกเทศกาลของจีนมักจะมีกระดาษเงินกระดาษทอง รวมถึงเป็ด ไก่ เป็นของเซ่นไหว้อยู่เสมอ จิตราเล่าว่า ในสมัยก่อนผู้คนจะมาซื้อหากระดาษเงินกระดาษทองที่ 'ตรอกกระดาษเงินกระดาษทอง' หรือ ซอยเจริญกรุง 21 กันเป็นจำนวนมาก เพราะที่นี่ถือเป็นแหล่งซื้อขายกระดาษเงินกระดาษทองที่ใหญ่ที่สุด แม้ปัจจุบันตรอกกระดาษเงินกระดาษทองจะไม่เป็นที่นิยมเท่าแต่ก่อน เนื่องจากการขยายตัวของสังคม แต่ก็ยังคงเป็นแหล่งค้าส่งกระดาษเงินกระดาษทองที่มีลมหายใจ
       
       รวมถึง 'ตรอกเชือดเป็ดเชือดไก่' หรือชื่อทางการว่า ถนนมังกร ก็เคยมีอดีตที่คึกคักพลุกพล่านไปด้วยผู้คนในช่วงเทศกาลจีนต่างๆ ร้านค้าจะนำเป็ดไก่ที่ยังเป็นๆ มาเชือดเพื่อค้าขายในเทศกาลเซ่นไหว้ต่างๆ แต่ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ในปัจจุบันตรอกเชือดเป็ดเชือดไก่เหลือร้านค้าเป็ดไก่อยู่ไม่กี่ร้านเท่านั้น
       
       แม้สภาพสังคมจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ลูกหลานชาวจีนก็ยังคงดำรงไว้ซึ่งประเพณี ความเชื่อ ของพวกเขา แม้จะมีการดัดแปลงไปบ้าง ก็เชื่อว่าประเพณีสารทจีน และประเพณีเทกระจาด ในเดือน 7 นี้ จะคงอยู่สืบไป



 

Studio Hybrid dell mini pc


สังเวียนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะจิ๋วแต่แจ๋วคึกคักขึ้นอีกครั้ง เมื่อเดลล์ส่ง Studio Hybrid มาประชันกับคอมพ์จิ๋วของแอปเปิล โซนี่ และเอชพี ซีอีโอเดลล์ระบุว่าเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่นที่มีขนาดเล็กที่สุดที่เดลล์เคยผลิตมา ใช้ขุมพลังจาก Core 2 Duo จากอินเทล ระบบปฏิบัติการวิสต้าของไมโครซอฟท์
       
       เดลล์ (Dell) ให้ข้อมูลว่า Studio Hybrid มีขนาดเล็กกว่ามาตรฐานทาวเวอร์คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่นเล็กในท้องตลาดถึง 80% ใช้พลังงานน้อยกว่าราว 70% มีให้เลือก 6 สีแสบสวยดีไซน์กะทัดรัด รองรับแผ่นดีวีดี เอชดีเอ็มไอ และสามารถเพิ่มเงินเพื่อปรับให้รองรับบลูเรย์ได้
       
       ประชาสัมพันธ์ของเดลล์ Michael Scheschuk กล่าวว่าเป้าหมายของเดลล์คือออกแบบให้ Studio Hybrid สามารถใช้งานทั้งในสำนักงานหรือห้องนั่งเล่นได้ รวมประสิทธิภาพการทำงานสูงเข้ากับสไตล์ล้ำสมัย
       
       นี่เป็นการเปิดตัวที่เชื่อมกับคำกล่าวของประธานและซีอีโอเดลล์ Michael Dell ที่ประกาศเมื่อเดือนเมษายนว่ากำลังพัฒนาระบบเดสก์ทอปขนาดเล็กพิเศษ คำประกาศครั้งนั้นเกิดขึ้นในโอกาสวันรณรงค์เพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยยืนยันว่า ผลจากการพัฒนาคือเดสก์ทอปที่เล็กและสามารถประหยัดพลังงานได้มากที่สุดของเดลล์
       
       ก่อนหน้านี้ เดลล์ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อันดับสองของโลกรองจากเอชพี ระบุว่ามีแผนจะเพิ่มยอดจัดส่งผลิตภัณฑ์ให้ได้ 50% ในปีนี้ ซึ่งรวมทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์เดสก์ทอปและแลปทอป
       
       แม้นักวิเคราะห์จะมองว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของเดลล์น่าสนใจมาก โดยเฉพาะราคา Studio Hybrid ที่กำหนดไว้อย่างยั่วใจเริ่มต้นที่ 499 เหรียญ ราว 16,500 บาท แต่การจะแข่งขันกับ Mac Mini หรือผู้เล่นรายอื่นในตลาดคอมพ์สวย จะต้องมีความจุหน่วยความจำที่เหนือกว่า ซึ่งเป็นปัจจัยที่ผู้ใช้เลือกเพื่อเป็นศูนย์กลางความบันเทิงของตัวเอง
       
       รายละเอียด Studio Hybrid ต่อไปนี้ สามารถตอบคำถามนักวิเคราะห์ได้อย่างชัดเจน
       
       หน่วยประมวลผล : Intel® Pentium® Dual Core, Intel CoreTM 2 Duo
       ระบบปฏิบัติการ : Genuine Windows Vista® Home Basic, Genuine Windows Vista® Home Premium, Genuine Windows Vista® Ultimate
       หน่วยความจำ : 4GB 667MHz Dual Channel DDR2 SDRAM ขึ้นไป
       ฮาร์ดไดร์ฟ : 320GB Serial ATA Hard Drive (5400 RPM) ขึ้นไป
       เชื่อมต่อภายนอก : รองรับการเชื่อมต่อ IEEE1394 และ USB 2.0
       ออปติคอลไดร์ฟ : 8X Slot Load CD/DVD Writer (DVD+/-RW), 6X Slot Load Blu-ray/CD/DVD Combo Drive
       กราฟิกการ์ด : Intel® Integrated Graphics Media Accelerator X3100
       ระบบเสียง : Intel High Definition Audio 2.0
       เชื่อมต่อไร้สาย : 10/100/1000 (Gigabit) Ethernet LAN ออนบอร์ด สามารถอัปเกรดเป็น Built-in Draft-N Wireless Networking ได้
       พอร์ทเชื่อมต่อ : 5 พอร์ต USB 2.0, IEEE1394a (4-pin), HDMI video connector, DVI video connector, Integrated network connector 10/100/1000 LAN (RJ45), AC adapter connector
       ระบบเสียงดิจิตอล : S/P DIF Out
       ระบบเสียงอนาล็อค : Headphone (front); Line-in / Line-out (back)
       ขนาด : 196.5x71.5x211.5 มม.
       น้ำหนัก : 2.18 กก.



 

กินซูชิ ทำ "ทูนา" สูญพันธ์


เห็นซูชิชิ้นเล็กๆ อย่างนี้ประมาทไม่ได้เลย หากเพลิดเพลินกับรสชาติของข้าวปั้นหน้าปลาดิบกันมากเกินไปก็เป็นเหตุให้ปลาทูนาสูญพันธุ์ได้เหมือนกัน (ภาพจาก (AFP/File/Yoshikazu Tsuno)
เฉพาะญี่ปุ่นชาติเดียวก็แย่แล้ว จีน-ฝรั่ง ยังฮิตกินซูชิและซาชิมิตามพี่ยุ่นอีก นักอนุรักษ์หวั่นเป็นเหตุทำทูนาสูญพันธุ์จากเมดิเตอร์เรเนียน หลังเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันมาแล้วกับทูนาแถบออสเตรเลีย
       
       ปัจจุบันอาหารญี่ปุ่นแพร่หลายไปทั่วโลก โดยซูชิและซาชิมิหรือปลาดิบ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงและต่อเนื่องจากทั้งชาวตะวันตก รวมถึงชาวญี่ปุ่น ซึ่งในรายงานจากสำนักข่าวเอเอฟพีระบุว่า ปลาทูนา (bluefin tuna) ที่รวมอยู่ในจานเด็ดดังกล่าว ส่วนใหญ่จับมาจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้หลายฝ่ายกังวลกันว่า อาจทำให้ปลาชนิดนี้สูญพันธุ์ไปจากถิ่นที่อยู่ของพวกมันได้ ในไม่ช้านี้ เพราะถูกล่ามากเกินพอดี
       
       โรเบอร์โต มิเอลโก เบรกัซซี (Roberto Mielgo Bregazzi) ผู้เชี่ยวชาญชาวสเปน ซึ่งเขียนรายงานให้กับกรีนพีซและกองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Fund) หลายครั้ง กล่าวว่า ลำพังการบริโภคปลาดิบของชาวญี่ปุ่นชาติเดียว ก็คุกคามทูนาในเมดิเตอร์เรเนียนอยู่แล้ว นี่ยังเพิ่มความนิยมบริโภคซูชิหน้าปลาดิบของชาวยุโรปและชาวจีนเข้าไปอีกอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้ทูนาลดจำนวนลงมากกว่าเดิม
       
       ข้าวปั้นหน้าปลาดิบจากแดนอาทิตย์อุทัย แพร่หลายเข้าไปในยุโรปและสหรัฐอเมริกา เมื่อราวช่วงทศวรรษที่ 90 และก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับในประเทศจีน ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่นานนัก ซึ่งเบรกัซซีได้อ้างรายงานของคณะกรรมาธิการเพื่อการอนุรักษ์ปลาทูนาในมหาสมุทรแอตแลนติก (International Commission for the Conservation of Atlantic Tunas: ICCAT) ที่สำรวจพบว่ามีการบริโภคเนื้อทูนาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา
       
       อย่างไรก็ตาม ประเทศญี่ปุ่นยังคงเป็นชาติที่มีการบริโภคที่สุด ซึ่งฌอง-มาร์ค โฟรมองแตง (Jean-Marc Fromentin) ผู้เชี่ยวชาญด้านปลาทูนาจากสถาบันวิจัยการใช้ประโยชน์จากทะเลแห่งฝรั่งเศส (French Research Institute for Exploitation of the Sea: IFREMER) เผยข้อมูลว่าปลาทูนาที่จับได้จากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมดถูกส่งออกไปยังญี่ปุ่นที่เดียวมากถึง 80-85%
       
       ทั้งนี้ การบริโภคซูชิได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ซึ่งทูนาที่บริโภคกันในขณะนั้น นิยมใช้ทูนาจากซีกโลกใต้ที่มีอยู่มากมายในเขตน่านน้ำออสเตรเลีย แต่เพราะถูกล่ามาเป็นอาหารของมนุษย์มากเกิน ส่งผลให้ทูนาที่เคยอุดมสมบูรณ์ในแถบนั้นกลายเป็นสิ่งที่หายากยิ่งในปัจจุบัน ชาวญี่ปุ่นจึงบ่ายหน้าไปแสวงหาทูนาในมหาสมุทรแอตแลนติกแทน ซึ่งแหล่งส่วนใหญ่ก็อยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนดังกล่าว
       
       ข้อมูลจากคณะกรรมาธิการเพื่อการอนุรักษ์ปลาทูนาในมหาสมุทรแอตแลนติกบ่งชี้อีกว่าเทคโนโลยีการประมงที่ทันสมัยมากขึ้น ทั้งจากในยุโรป ตุรกี และประเทศทางตอนเหนือของแอฟริกา ส่งผลให้ทุกวันนี้ มีการจับทูนาขึ้นมาจากทะเลรวมแล้วมากกว่า 50,000 ตันต่อปี ขณะที่ปริมาณการจับ ที่จะไม่กระทบต่อปริมาณทูนาในธรรมชาติในระยะสั้นนั้น จะต้องไม่เกิน 15,000 ตันต่อปีเท่านั้น
       
       คาร์ลี โธมัส (Karli Thomas) หนึ่งในอาสาสมัครของกรีนพีซกล่าวว่า อุตสาหกรรมการจับปลาทูนาอย่างเกินขนาดก็เท่ากับการฆ่าตัวเอง เพราะอีกหน่อยก็จะไม่เหลือทูนาให้จับอีกแล้ว และอีกหลายพันคนก็จะต้องตกงาน



--

 

‘DFM’ รถจีนบุกตลาดไทย 2.79 แสนบ.บวกNGV

 
    เปิดตัวน้องใหม่ตลาดรถไทย "DFM" แบรนด์รถยนต์จากจีนในกลุ่ม "ตงฟง มอเตอร์ส" ภายใต้การทำตลาดของเครือข่ายกลุ่ม "ยูเนี่ยนแสงทองฯ" ผู้ค้าอะไหล่รถยนต์รายใหญ่ในไทย และยังมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนทั้งในไทยและจีนส่งออกทั่วโลก เผยแผนเปิดตัวขายเป็นทางการ ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2008 ประเดิม 4 รุ่น ทั้งปิกอัพขนาดเล็ก มินิแวน และรถขนของอเนกประสงค์ เคาะราคา 2.79-4.39 แสนบาท พร้อมติดตั้งระบบเชื้อเพลิง NGV มาตรฐานโรงงานฟรี งานนี้หวังชิงยอดขายจากแบรนด์ดังแดนปลาดิบ "ซูซูกิ แครี่" เมินประกบ "หวู่หลิง" รถยนต์จากจีนเช่นเดียวกัน และประกาศทุ่มงบ 400-500 ล้านบาท เปิดโชว์รูมและศูนย์บริการ 4 มุมเมือง และสต็อกอะไหล่ 10% ของมูลค่ารถ รองรับนโยบายเน้นการบริการเป็นหัวใจหลัก ยิ้มผลตอบรับจากผู้บริโภคชาวไทยดีเกินคาด หลังแอบไปออกงานมั่นใจไทยแลนด์ 7 วัน กวาดยอดจองไปกว่า 100 คัน ทำให้มั่นใจสิ้นปีทะลุ 1,000 คัน ฟุ้งภายใน 5 ปี ขอแชร์ในตลาดรถยนต์ไทยไม่ต่ำกว่า 5%

       แม้ตลาดรถยนต์ไทยจะกำลังประสบปัญหาวิกฤตพลังงาน แต่ก็ยังถือเป็นตลาดที่มียังแข็งแกร่งมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก ดังนั้นจึงมีรถยนต์แบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดอยู่เสมอ และภายในสิ้นปีนี้ก็จะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถยนต์จากประเทศจีน ตามที่ "ผู้จัดการมอเตริ่ง" ได้รายงานไปแล้ว ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2008 ปลายปีนี้ จะมีรถยนต์แบรนด์ใหม่จากจีน เปิดตัวในงานถึง 3 ยี่ห้อ แม้จะยังไม่เปิดเผยชื่อเป็นทางการ นอกจากรายงานข่าวเพียงชื่อกลุ่มผู้ทำตลาดในไทย ได้แก่ กลุ่มสวีเดนมอเตอร์ส และกลุ่มยนตรกิจ คอร์ปอเรชั่น ส่วนอีกกลุ่มยังไม่มีรายงานข่าวว่าเป็นกลุ่มไหนอย่างไร?
       
       แต่ล่าสุดค่อนข้างจะชัดแล้วว่า จะเป็น "กลุ่มยูเนี่ยนแสงทองฯ" ผู้ค้าอะไหล่รถยนต์รายใหญ่ในไทย ที่สยายปีกหันมาทำธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ใหม่แบรนด์ "DFM" ซึ่งเป็นรถยนต์จากประเทศจีน ในกลุ่มของ "ตงฟง มอเตอร์ส" ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่ของจีน ภายใต้การบริหารของบริษัท ดีเอฟเอ็ม มอเตอร์ เซลส์(ประเทศไทย) จำกัด
       


พิทยา ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอฟเอ็ม มอเตอร์ เซลส์(ประเทศไทย) จำกัด
       "ตามแผน DFM จะเปิดตัวขายอย่างเป็นทางการปลายปีนี้ ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2008 โดยจะมีการเปิดตัวโชว์รูมและศูนย์บริการ พร้อมแนะนำรถยนต์ที่จะทำตลาดในเดือนกันยายน แต่เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทางกระทรวงการคลังได้ติดต่อให้ไปช่วยออกงานโชว์รถในงานมหกรรมสร้างความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ หรือมั่นใจไทยแลนด์ ที่เมืองทองธานี ทำให้ประชาชนเริ่มรู้จักรถยนต์ DFM บ้างแล้ว และผลจากการออกงานปรากฏว่าได้รับการตอบรับดีมาก มียอดจองเข้ามาแล้วกว่า 100 คัน แม้จะยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการก็ตาม"
       
       พิทยา ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอฟเอ็ม มอเตอร์ เซลส์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ "ผู้จัดการมอเตอริ่ง" ถึงแผนการก้าวย่างในตลาดรถยนต์ในไทย พร้อมกับกล่าวถึงที่มาของรถยนต์ดังกล่าวว่า DFM แม้จะเป็นรถยนต์จากจีน แต่เป็นรถที่มีไลน์ประกอบได้มาตรฐาน และคุณภาพดี เพราะบริษัทแม่ตงฟง มอเตอร์ส เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในจีน ที่ผลิตให้ค่ายรถยักษ์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็น นิสสัน ซีตรอง และเกีย เป็นต้น
       

       "โดยเฉพาะรถบรรทุก และรถบัส ภายใต้แบรนด์ของตงฟงเอง ถือเป็นผู้ผลิตและมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งในจีนมานาน และเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา ตงฟง มอเตอร์ส ได้ขยายตลาดสู่รถบรรทุกขนาดเล็ก จึงได้ตั้งแผนก Mini Truck ขึ้นมา ผลิตและจำหน่ายรถขนาดเล็ก ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดีเช่นกัน ดังนั้นเราจึงเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานการผลิต รวมถึงแบรนด์ DFM เหตุนี้จึงได้ตัดสินใจขอเป็นผู้แทนจำหน่ายในไทยแต่เพียงผู้เดียว"

ปิกอัพเล็ก DFM เครื่องยนต์ 1.1 ลิตร ราคา 2.79 แสนบาท
       "ทั้งนี้รถยนต์ที่จะทำตลาดในไทยเบื้องต้น จะมีด้วยกัน 4 รุ่น คือ ปิกอัพเล็ก DFM เครื่องยนต์ 1.1 ลิตร ราคา 2.79 แสนบาท ปิกอัพดัดแปลงเป็นตู้ห้องเย็น DFM Mini Refrigerated 1.1 ลิตร ราคา 4.39 แสนบาท รถอเนกประสงค์ DFM Mini MPV เครื่องยนต์ 1.1 ลิตร ราคา 3.99 แสนบาท และรถมินิแวน DFM Mini STAR 1.3 ลิตร ราคา 4.39 แสนบาท โดยทั้งหมดมีจุดเด่นกว่ารถทั่วไป ตรงที่ได้ติดตั้งระบบใช้ก๊าซธรรมชาติ NGV จากโรงงานมาให้ฟรี จึงทำให้เป็นรถที่สามารถใช้เชื้อเพลิง 2 ระบบ คือ น้ำมันเบนซิน และ NGV จึงมีความประหยัดพลังงาน และคุ้มค่าในการบรรทุกขนส่ง ในสภาวะราคาน้ำมันแพงเช่นนี้อย่างยิ่ง"
       
       สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดตั้งมา ขนาด 1.1 ลิตร รหัส EQ465i เป็นแบบหัวฉีดอิเลคทรอนิค 4 สูบ 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้กำลัง 52.4 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. และอีกรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร รหัส EQ474i ให้กำลังสูงสุด 82.3 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 135 กม./ชม. โดยมีเฉพาะเกียร์ธรรมดาเท่านั้น

รถมินิแวน DFM Mini STAR 1.3 ลิตร ราคา 4.39 แสนบาท
       "DFM เป็นรถยนต์ที่การประกอบได้มาตรฐาน คุณภาพดี ราคาคุ้มค่า และใช้งานบรรทุกได้มากถึง 1 ตัน ที่สำคัญยังสนองตอบนโยบายการใช้พลังงาน NGV ของรัฐบาล และถือเป็นเชื้อเพลิงอนาคตของไทย ทำให้ผู้ที่ซื้อรถมีความคุ้มค่า ประหยัด และช่วยลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี จึงเหมาะกับการใช้งานอย่างยิ่ง ทำให้ในงานมั่นใจไทยแลนด์เพียงแค่ 7 วัน กลับมียอดจองเข้ามาแล้วกว่า 100 คัน ทำให้เรามั่นใจว่าแบรนด์ DFM จะได้รับการยอมรับ และเชื่อมั่นว่าจนถึงสิ้นปีนี้ จะทำยอดขายได้ถึง 1,000 คัน ตามที่ได้ตกลงไว้กับทางตงฟง มอเตอร์ส" พิทยากล่าวและว่า
       
       "สำหรับคู่แข่งของ DFM เรามองไปที่ปิกอัพขนาดเล็ก ซูซูกิ แครี่ เพราะมีขนาดที่ใกล้เคียงกัน แต่ DFM มีความโดดเด่นกว่าในเรื่องขนาดบรรทุกที่ใหญ่กว่า ที่สำคัญราคาต่ำกว่า และยังรวมติด NGV จากโรงงานมาให้ด้วย ขณะที่แครี่ต้องไปเสียค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง NGV เพิ่มอีก 5-6 หมื่นบาท ส่วนรถยนต์จากจีนอย่างหวู่หลิงไม่ได้มองว่าเป็นคู่แข่ง เนื่องจากมีขนาดที่เล็กกว่าชัดเจน"
       
       อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก DFM เป็นแบรนด์รถยนต์จากจีน แน่นอนความมั่นในจากผู้บริโภคชาวไทยจึงค่อนข้างน้อย ในเรื่องนี้พิทยาเองก็เข้าใจและเห็นว่า "คนไทยค่อนข้างมองรถยนต์ หรือสินค้าจีน ไม่ค่อยมีคุณภาพและกลัวเรื่องการบริการ ทั้งที่สินค้าจีนมีการพัฒนาและผลิตได้คุณภาพมีมาตรฐานส่งขายไปทั่วโลก แต่เราเองก็เข้าใจความรู้สึกของคนไทย เพราะคงเคยเจอกับประสบการณ์สินค้าจากจีนบางยี่ห้อ ที่เข้ามาทำตลาดแล้วไม่รับผิดชอบ ดังนั้นเบื้องต้น DFM จึงมุ่งเน้นไปให้ความสำคัญกับการบริการเป็นสำคัญ ขณะที่ตัวสินค้าเรามั่นใจจุดเด่นอยู่แล้ว"
       
       "จะเห็นว่าเราได้ลงทุนในโชว์รูมและศูนย์บริการ ที่ถนนพหลโยธิน เขตสายไหม ใกล้กับดอนเมือง ไม่แตกต่างจากโชว์รูมและศูนย์บริการของรถยนต์แบรนด์ดังทั่วไป โดยมีช่องซ่อมมากถึง 15 ช่อง และจะขยายพื้นที่ด้านหลังเพิ่มอีกด้วย ส่วนช่างได้รับการสนับสนุนจากตงฟง มอเตอร์ส ส่งทีมช่างมาประจำอยู่ 1 เดือน ช่วยอบรมให้กับทีมช่างไทย และหลังจากนั้นจะมีการกลับมาตรวจสอบและอบรมเป็นระยะ ขณะที่อะไหล่ก็ได้มีการสต็อกไว้อย่างเพียงพอ ทั้งนี้เราได้มีการตกลงชัดเจนกับตงฟง มอเตอร์ส ว่าจะมีการสต็อกอะไหล่จำนวน 10% ของมูลค่ารถยนต์ที่นำเข้ามาจำหน่าย"
       


รถอเนกประสงค์ DFM Mini MPV เครื่องยนต์ 1.1 ลิตร ราคา 3.99 แสนบาท
       พิทยายังย้ำเรื่องการบริการถือเป็นหัวใจหลักของ DFM และยืนยันประสบการณ์ของ DFM ที่มีมายาวนาน โดยตระกูล "ธนาดำรงศักดิ์" เป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายอะไหล่รถยนต์จากจีนรายใหญ่ของไทย ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ยูเนี่ยนแสงทองพาร์ท เซ็นเตอร์ จำกัด บริหารงานโดยบิดา "แสงอรุณ ธนาดำรงศักดิ์" มานานกว่า 30 ปี และยังมีโรงงานผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ ทั้งในไทยและเป็นหุ้นส่วนในโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์หลายแห่งในจีนเพื่อส่งออกทั่วโลกด้วย เหตุนี้จึงได้รับความไว้วางใจจากทางตงฟง มอเตอร์ส ว่าเป็นผู้ที่เข้าใจและรู้จักรถยนต์จีนมากที่สุด จึงตัดสินใจเลือกเป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ DFM ในไทยแต่เพียงผู้เดียว
       
       "DFM ให้ความสำคัญกับเรื่องบริการเป็นลำดับแรก ฉะนั้นจึงมีแผนที่จะเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการให้ครบ 4 มุมเมือง ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยเราลงทุนเช่นเดียวกับโชว์รูมสำนักงานใหญ่แห่งนี้ คาดจะใช้เงินลงทุนรวม 400-500 ล้านบาท ส่วนตัวแทนจำหน่ายหรือดีลเลอร์ เบื้องต้นจะเน้นหัวเมืองใหญ่ๆ ตามต่างจังหวัดก่อน คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะเปิดได้ประมาณ 13 ราย และทยอยเปิดเพิ่มเรื่อยๆ ในปีถัดไป" ชัชกิต ชูแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอฟเอ็ม มอเตอร์ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวเสริม
       
           
       


เที่ยว ศรีเทพ เมืองโบราณ

 
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 30 กรกฎาคม 2551 15:56 น.
ปรางค์ศรีเทพ
       วันนี้"ผู้จัดการท่องเที่ยว" ขอหลบปัญหาเรื่องมรดกโลกเจ้าปัญหาเขาพระวิหารที่ยังถกเถียงกันไม่จบสิ้นอันเกิดจากคนขายชาติเพียงไม่กี่คน ขอหลบจากปัญหาระหว่างคนกับโบราณสถานที่แก้ไม่ตกของมรดกโลกอยุธยา จนทำให้เกิดข่าวว่ามรดกโลกชิ้นนี้อาจจะถูกถอดถอน ขอหลบมาเที่ยวโบราณสถานที่กำลังจะถูกหมายมั่นปั้นมือเสนอชื่อให้เป็นมรดกโลกแห่งใหม่ในอนาคตอย่างที่ "อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ" จ.เพชรบูรณ์ แทนดีกว่า

ปรางค์สองพี่น้อง
       เมืองโบราณศรีเทพนั้น ได้ปรากฏชื่อขึ้นครั้งแรกเมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เสด็จไปตรวจราชการมณฑลเพชรบูรณ์ เนื่องจากพระองค์ทรงพบชื่อ "ศรีเทพ" ในทำเนียบเก่าบอกรายชื่อหัวเมือง และสืบค้นจนสันนิษฐานได้ว่าศรีเทพเป็นชื่อเดิมของเมืองวิเชียรบุรี อีกทั้งยังทรงสำรวจพบโบราณวัตถุโบราณสถานต่างๆมากมายในแถบนี้ จึงทรงเป็นคนแรกที่เรียกเมืองโบราณแห่งนี้ว่า "เมืองศรีเทพ"
       

       เมืองศรีเทพนั้นเป็นชุมชนโบราณขนาดใหญ่มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่พบนั้นแสดงให้เห็นว่าเมืองศรีเทพนั้นเป็นชุมชนที่มีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ติดต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน ต่อเนื่องมาถึงสมัยทวารวดี สมัยลพบุรี หรือตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา และถูกทิ้งร้างไปในที่สุดหลังพุทธศตวรรษที่ 18

คนแคระแบกโบราณสถาน
       หากให้ฉันเล่าคงจะมีคนหลับไปเสียก่อน เพราะฉะนั้นเพื่อความเข้าใจในที่มาของเมืองศรีเทพ ก็ขอเชิญทุกคนเข้าไปเยี่ยมชมศูนย์บริการข้อมูลของอุทยานฯ กันก่อนดีกว่า ภายในนั้นก็จะมีข้อมูลของเมืองโบราณศรีเทพ ตั้งแต่แผนผังที่ตั้งและขอบเขต ทำให้ฉันรู้ว่าเมืองโบราณศรีเทพเป็นเมืองสองชั้น คือมีเมืองในและเมืองนอก เมืองในเป็นส่วนที่สำคัญของเมืองศรีเทพ มีโบราณสถานอยู่กว่า 70 แห่ง แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ขุดแต่ง มีสระน้ำสำคัญ และมีประตูเมืองตามแบบเมืองใหญ่ทั่วไป ส่วนเมืองนอกมีขนาดใหญ่กว่าเมืองใน มีโบราณสถานที่ค้นพบแล้วกว่า 60 แห่ง ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ขุดแต่งเช่นเดียวกัน
       
       อีกทั้งก็ยังมีโบราณวัตถุชิ้นสำคัญๆ ที่ขุดค้นพบมาจัดแสดงให้ชม เช่นสุริยเทพที่ขุดพบถึง 3 องค์ ท้าวกุเวร และมีภาพถ่ายเก่าๆระหว่างการขุดค้นที่เมืองศรีเทพ และล่าสุดหลังจากการปรับปรุง ทางศูนย์บริการฯก็ได้จัดทำห้องศิลาจารึก ซึ่งรวบรวมโบราณวัตถุประเภทจารึกที่ขุดค้นพบในเมืองศรีเทพ เช่นจารึกบนฐานประติมากรรม ซึ่งเป็นจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาบาลี

โบราณสถานเขาคลังใน
       คราวนี้ก็ได้เวลาออกเดินชมโบราณสถานกันแล้ว ในหน้าฝนอย่างนี้ท้องฟ้าอาจไม่แจ่มใส มีฝนฟ้าในบางวัน หากวันไหนแดดออกอากาศสดใสก็ถือว่าโชคดีไป แต่หากมาวันที่ฝนตกก็คิดเสียว่าไม่ต้องเผชิญกับแดดร้อน สายฝนที่โปรยลงมาก็ถือซะว่าเป็นพัดลมไอน้ำเย็นชื่นใจดี
       
       สำหรับจุดแรก มาแวะกันก่อนที่ "หลุมขุดค้นทางโบราณคดี" ที่สร้างเป็นอาคาร ภายในจัดแสดงให้เห็นถึงการขุดค้นทางโบราณคดีบริเวณเนินดินขนาดใหญ่ภายในเมืองศรีเทพ ซึ่งได้มีการขุดค้นเมื่อ พ.ศ.2531 และการขุดค้นนั้นก็ทำให้พบหลักฐานที่ทำให้เห็นถึงร่องรอยของชุมชนดั้งเดิมในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ นั่นก็คือโครงกระดูกมนุษย์ 5 โครง และข้าวของเครื่องใช้ที่ถูกฝังอยู่ในดินลึกถึง 4 เมตร มีอายุราวๆ 2,000 ปีมาแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเมืองศรีเทพนี้ได้มีการตั้งถิ่นฐานชุมชนมาตั้งแต่แรกเริ่ม ก่อนจะพัฒนามาเป็นสังคมเมืองที่รับอารยธรรมทวารวดีและเขมรโบราณในราวพุทธศตวรรษที่ 11-18 ก่อนที่เมืองศรีเทพจะถูกทิ้งร้างไปราวก่อนหรือต้นสมัยสุโขทัย อีกทั้งภายในหลุมขุดค้นนี้ยังพบโครงกระดูกช้างโบราณในสมัยหลังลงมาอยู่ในบริเวณเดียวกันอีกด้วย

โบราณสถานเขาคลังนอก อยู่ระหว่างการขุดเเต่ง
       ออกจากหลุมขุดค้นมาชม "ปรางค์ศรีเทพ" กันต่อ ปรางค์ศรีเทพนี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบเขมร ตั้งอยู่บนฐานยกพื้นขนาดใหญ่ ตัวปรางค์ก่อด้วยอิฐ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลง หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ด้านหน้าองค์ปรางค์มีฐานของสิ่งก่อสร้างที่น่าจะเป็นบรรณาลัยอยู่สองหลัง สันนิษฐานว่าน่าจะใช้เป็นที่เก็บคัมภีร์ทางศาสนา โดยปรางค์ศรีเทพนี้น่าจะมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-17
       
       มาชมปรางค์อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากปรางค์ศรีเทพนัก นั่นก็คือ "ปรางค์สองพี่น้อง" มีลักษณะคล้ายปรางค์ศรีเทพตรงที่ก่อด้วยอิฐตั้งอยู่บนฐานศิลาแลง หันหน้าไปทางทิศตะวันตก แต่เป็นปรางค์สององค์ตั้งอยู่คู่กันโดยองค์หนึ่งขนาดใหญ่และสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ แต่อีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นองค์เล็กกว่าได้หักพังไปจนเหลือให้เห็นเพียงแค่ฐานและซุ้มประตู

รูปจำลองสุริยเทพที่ขุดพบในอุทยานฯ ภายในศูนย์บริการข้อมูล
       สิ่งที่ไม่ควรพลาดชมที่ปรางค์สองพี่น้องนี้ก็คือที่บริเวณซุ้มประตูของปรางค์องค์น้อง ที่จากการขุดแต่งทางโบราณคดีได้พบทับหลังที่จำหลักเป็นรูปพระอิศวรอุ้มนางปารวตีประทับนั่งอยู่เหนือโคนนทิ มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 ส่วนในปรางค์องค์พี่นั้นพบแท่นสำหรับตั้งศิวะลึงค์ตั้งอยู่ ทั้งจากเรื่องราวบนทับหลังและโบราณวัตถุต่างๆที่พบบริเวณปรางค์สองพี่น้องนี้ทำให้สันนิษฐานได้ว่าเป็นโบราณสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย หรือนับถือพระศิวะเป็นใหญ่นั่นเอง
       
       มาถึงโบราณสถานที่ใหญ่ที่สุดในเขตเมืองในดูบ้าง ที่ "โบราณสถานเขาคลังใน" ศาสนสถานในศาสนาพุทธที่ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางเมือง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 11-12 ที่เรียกว่าเขาก็เพราะมีขนาดใหญ่โตราวกับภูเขาลูกย่อมๆ แม้สิ่งก่อสร้างที่เหลืออยู่ในวันนี้จะมีเพียงฐานราก แต่ก็ยังเห็นถึงความใหญ่โต โดยฐานของเขาคลังในนั้นก่อด้วยศิลาแลง ผิวนอกฉาบปูน ทางด้านทิศตะวันออกมีบันไดทางขึ้นสู่ลานด้านบน ซึ่งมีร่องรอยว่าเคยมีสิ่งก่อสร้างอยู่ด้านบน อาจจะเป็นสถูปหรือวิหารก็สุดที่จะทราบได้เพราะไม่มีใครเคยเห็น แต่ที่ได้ชื่อว่าเขาคลังก็เพราะเชื่อกันว่าเป็นที่เก็บอาวุธและทรัพย์สมบัติจึงเรียกว่า "เขาคลัง" นั่นเอง

ธรรมจักรที่ตั้งอยู่ด้านหน้าเขาคลังใน
       รายละเอียดที่น่าสนใจของเขาคลังในนั้นก็อยู่ที่บริเวณฐานด้านล่าง หากลองไปด้อมๆมองๆดูที่ฐานของโบราณสถานทางด้านทิศใต้และทิศตะวันตกก็จะเห็นว่า ผู้สร้างได้ทำภาพปูนปั้นนูนต่ำประดับเอาไว้โดยรอบ โดยภาพปูนปั้นนั้นทำเป็นรูปคนแคระกำลังแบกโบราณสถานอยู่ ซึ่งเป็นลักษณะทางศิลปะแบบทวารวดีเช่นเดียวกับเจดีย์วัดโขลง เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี คือมีประติมากรรมปูนปั้นรูปคนและสัตว์แสดงท่าค้ำยันฐานโบราณสถานเช่นเดียวกัน โดยคนแคระเหล่านี้ก็มีทั้งคนแคระที่มีศีรษะเป็นคน และมีศีรษะเป็นสัตว์ต่างๆ เช่น ช้าง ลิง สิงห์ เป็นต้น ถือเป็นสัญลักษณ์ของอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพก็ว่าได้ ดังนั้นก็เลยถูกโจรแซะจากฐานขโมยออกไปจากอุทยาน เป็นข่าวเมื่อ 3-4 ปีก่อน แต่หลังจากนั้นไม่นานรูปปั้นคนแคระก็ได้กลับมาอยู่ที่เดิม โดยมีคนนำมาทิ้งไว้ที่วัดในจังหวัดลพบุรี ทางวัดจึงได้นำกลับมาคืนทางอุทยานฯเป็นที่เรียบร้อย
       
       อีกทั้งบริเวณด้านหน้าเขาคลังในก็มีธรรมจักรศิลา ศิลปะสมัยทวารวดีที่ขุดพบในสภาพที่หักหายไปเสียครึ่งหนึ่ง แต่ลวดลายรายละเอียดต่างๆ ยังอยู่ครบ ซึ่งถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าเมืองศรีเทพเป็นเมืองโบราณในยุคทวารวดีซึ่งมีการนับถือศาสนาพุทธมาก่อน

โครงกระดูกมนุษย์ในหลุมขุดค้น
       ทั้งหมดนี้ก็คือโบราณสถานที่จะได้ชมกันในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพในเขตเมืองใน แต่ในตอนนี้ทางอุทยานฯ ก็กำลังดำเนินการขุดค้นโบราณสถานแห่งใหม่ในเขตเมืองนอกเพิ่มเติม นั่นก็คือที่ "โบราณสถานเขาคลังนอก" ที่ตั้งห่างจากเมืองโบราณศรีเทพออกไปทางทิศเหนือประมาณ 2 กิโลเมตร โดยเขาคลังนอกนั้นก็มีลักษณะเดียวกับเขาคลังใน แต่มีขนาดใหญ่กว่า ก่อนนี้เขาคลังนอกเป็นเพียงเนินดินขนาดใหญ่ บริเวณตอนกลางบนยอดสุดมีหลุมที่เกิดจากการลักลอบขุดเป็นโพรงลงไป
       
       เมื่อขุดแต่งไปแล้วก็พบว่า เขาคลังนอกนั้นก็เป็นศาสนสถานในวัฒนธรรมทวารวดีที่มีความสำคัญเคียงคู่กันกับเขาคลังในที่ตั้งอยู่ภายในเมืองโบราณศรีเทพ แต่ที่โบราณสถานเขาคลังนอกนี้ยังพบซากเจดีย์ที่ก่อด้วยอิฐหลงเหลืออยู่ด้านบน ส่วนบริเวณฐานนั้นก็มีรูปแบบศิลปะสมัยทวารวดีอย่างชัดเจน และยังคงความสมบูรณ์อยู่มาก

ทับหลังรูปพระอิศวรอุ้มนางปารวตี ประดับอยู่บนซุ้มประตูของปรางค์องค์น้อง
       อีกทั้งยังมีการขุดแต่ง "ปรางค์ฤาษี" ที่อยู่ห่างจากเมืองโบราณศรีเทพไปทางด้านทิศเหนือประมาณ 3 ก.ม. องค์เรือนธาตุยังค่อนข้างสมบูรณ์ สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานสำคัญที่มีความสำคัญคู่กับปรางค์สองพี่น้อง และปรางค์ศรีเทพที่ในเมืองโบราณศรีเทพ
       
       อีกไม่นานการขุดแต่งก็คงจะเสร็จสิ้นลง และที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพนี้ก็จะมีโบราณสถานที่สำคัญเพิ่มขึ้น และเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกจุดหนึ่งเมืองโบราณศรีเทพ ให้นักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจได้เข้าชมกัน แต่ในอนาคตจะได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกหรือไม่ก็ยังต้องดูกันต่อไป
       
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
       
       อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ตั้งอยู่ที่ ตำบลศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ เปิดให้เข้าชมทุกวันในเวลา 08.00-16.30 น. ค่าเข้าชมชาวไทย 10 บาท ชาวต่างประเทศ 30 บาท รถยนต์นำเข้าอุทยาน คันละ 50 บาท สำหรับผู้ที่สนใจเข้าชมเป็นหมู่คณะและต้องการติดต่อวิทยากรบรรยาย ติดต่อโดยตรงได้ที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ โทร.0-5679-1787
       
       การเดินทาง จากจังหวัดสระบุรี ให้วิ่งมาตามทางหลวงหมายเลข 21 (สระบุรี-หล่มสัก) เมื่อถึงสี่แยกอำเภอศรีเทพแล้วให้เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2211 ไปอีกประมาณ 7 กิโลเมตรก็จะถึงอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ